คอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานได้หากไม่มีคำสั่ง ดังนั้นผู้เขียนโปรแกรมจะต้องเขียนคำสั่งเพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน
เพื่อผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
การเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการเขียนโปรแกรมเพื่อเป็นพื้นฐานที่จะทำความเข้าใจและสามารถเขียนโปรแกรมเพื่อ
สั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามต้องการได้ มีแนวคิด 2 รูปแบบ คือ
1. การเขียนโปรแกรมเชิงโครงสร้าง ( Structured programming) แนวความคิดนี้เป็นการจัดการคำสั่งต่าง ๆ
ให้มีรูปแบบและมาตรฐานที่สามารถเขียนโปรแกรมได้ง่าย ตรวจสอบการทำงานของโปรแกรมได้โดยไม่ยุ่งยาก และง่ายต่อ
การปรับปรุงในอนาคต ซึ่งมีโครงสร้างการควบคุม พื้นฐาน 3 รูปแบบคือ
1.1 โครงสร้างแบบเป็นลำดับขั้นตอน ( sequence) ประกอบด้วยคำสั่งหรือชุดคำสั่งไม่มีเงื่อนไขมีทางเข้าทางเดียว
และมีทางออกทางเดียว ดำเนินการแบบเรียงลำดับต่อเนื่องจากบนลงล่างโดยแต่ละขั้นตอนมีการดำเนินงานเพียงครั้งเดียว
1.2 โครงสร้างแบบมีทางเลือกในการตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่ง (Decision) เป็นโครงสร้างที่มีเงื่อนไข และมีการตรวจสอบเงื่อนไข
(condition) ว่าเป็นค่าจริงหรือค่าเท็จ แล้วดำเนินงานตามคำสั่งที่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด
1.3 โครงสร้างแบบทำซ้ำ ( iteration) เป็นการทำงานในลักษณะวนซ้ำหลาย ๆ รอบ (Loop) โดยจะหลุดออกจากเงื่อนไข
ก็ต่อเมื่อเงื่อนไขตรงตามที่ กำหนดไว้
2. การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (Object - oriented Programming) หรือแนวคิดเชิงวัตถุตั้งอยู่บนพื้นฐานการแจกแจง
รายละเอียดของปัญหา ในการเขียนโปรแกรมเพื่อให้เป็นไปตามหลักการ เชิงวัตถุนั้น ต้องพยายามมองรูปแบบวัตถุให้ออก
ทุกอย่างเป็นวัตถุหรือชิ้น แต่ละชิ้นก็จะมีหน้าที่แตกต่างกันไป เช่น รถยนต์ จะมีรถหลายแบบ หลายรุ่น หลายยี่ห้อ รถยนต์ก็จะแยกเป็นระบบต่าง ๆ
ประกอบกันเป็นรถ 1 คัน เช่น ระบบล้อ ระบบเกียร์ ระบบไฟฟ้า เป็นต้น
การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ เราจะเรียกวัตถุชั้นมาใช้แล้วประกอบเป็น 1 โปรแกรมที่มีความสามารถแตกต่างกันออกไป วัตถุหนึ่ง ๆ
เป็นแหล่งรวมของข้อมูลและกระบวนการเข้าไว้ด้วยกัน โดยจะมีคลาส (Class) เป็นตัวกำหนดคุณสมบัติของวัตถุ
และคลาสจะสามารถสืบทอดคุณสมบัติไปยังคลาส (Class) ย่อยต่าง ๆ ที่เรียกว่า object ได้
ด้วยคุณสมบัติดังกล่าวจึงทำให้ เกิดการนำมาใช้ใหม่ (Reusable) ที่ทำให้ลดขั้นตอนการพัฒนาโปรแกรมลงได้
โดยเฉพาะโปรแกรมขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนสูง การทำความเข้าใจถึงหลักการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุต้องอาศัยจินตนาการพอสมควร